ขิงเป็นสุดยอดของพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติหลากหลาย มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว น้ำมันหอมระเหยของขิงมีรสเผ็ด ด้วยสารสำคัญคือ จินเจอรอล(gingerol) มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งสารซีโรโทนินที่ระบบประสาทส่วนกลางและที่ทางเดินอาหาร จึงช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ภูมิปัญญาไทยใช้เพื่อขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ทำให้ผายลม และเรอ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ขับเหงื่อ แก้ไอ ขับเสมหะ รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน และขิงยังให้พลังงานน้อย การกินขิงวันละ 3 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นขิงหมักหรือขิงสดล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ขิง เป็นพืชที่มีจุดเด่นอยู่ที่น้ำมันหอมระเหย จึงนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด ทั้งอาหารหวานและคาว เช่นไก่ต้มขิง หมูผัดขิง เมี่ยง บัวลอยน้ำขิง เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการของขิงแก่ต่อปริมาณ 100 กรัม มีดังนี้
พลังงาน 28 กิโลแคลอรี
โปรตีน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.2 กรัม
ไขมัน 0.6 กรัม
เส้นใยอาหาร 0.8 กรัม
ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
แคลเซียม 18 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน 10 ไมโครกรัม
วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
(ข้อมูลจากตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย,กรมอนามัย.)
ข้อควรระวังในการบริโภคขิงก็คือ ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เนื่องจากเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อนอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือมีอาการระคายเคืองในช่องปากและระบบทางเดินอาหารได้ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความไวต่อความเผ็ดร้อนของขิงต่างกัน และควรกินขิงพร้อมกับมื้ออาหารเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร
แม้ขิงจะมีประโยชน์มากมาย แต่การคงความอ่อนเยาว์ให้ร่างกายควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นความ หลากหลาย กินผักและผลไม้อย่างน้อยวันะ 400 กรัม ออกกำลังกายตามวัย และพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ
ตอบ : ขิงไม่ใช่สมุนไพรชนิดเดียว ที่เป็นกุญแจสู่ความอ่อนเยาว์